ประวัติหม่า อิงจิ่ว ประธานาธิบดีไต้หวัน
ประวัติ
หม่าอิงจิ่ว (Ma Ying-jeou) เกิดเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ.1950 ที่โรงพยาบาลควงหว่า ในเกาลูน ฮ่องกง พ่อของเขาชื่อหม่าโฮหลิง แม่ชื่อว่าจิ๋นหัวเซี่ย พ่อแม่ของเขาอพยพโยกย้ายมาจากอำเภอเซียงถัน มณฑลหูหนาน ประเทศจีน เพราะหลังจากที่ก๊กมินตั๋งพ่ายแพ้สงครามกลางเมืองต่อคอมมิวนิสต์ก็ทำให้ต้องล่าถอยมาที่ไต้หวัน พ่อของหม่าอิงจิ่วเป็นสมาชิกพรรคก๊กมินตั๋งที่หลบหนีออกมาจากจีนแผ่นดินใหญ่เช่นเดียวกัน โดยมาตั้งหลักที่ฮ่องกงก่อนแล้วค่อยโยกย้ายมาไต้หวัน
เขาเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว มีพี่สาว 3 คน น้องสาวอีก 1 คน จากการที่เขาเป็นลูกชายคนเดียวของบ้าน ทำให้เขาได้รับความรักมากเกินไป ตอนเด็กๆ เขาถูกตามใจมาก พอโตขึ้นจึงกลายเป็นคนที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูงและดื้อรั้น และมีนิสัยไม่ค่อยสนใจคนอื่น ด้วยเหตุนี้ทำให้เขามีปัญหาในการทำงานร่วมกับคนอื่นๆ มาตลอด
เมื่อหม่าอิงจิ่วมีอายุได้เพียงขวบเดียว ครอบครัวของเขาก็ย้ายมาลงหลักปักฐานที่กรุงไทเป พ่อของเขาเคยเป็นอดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคก๊กมินตั๋ง และเป็นคนที่จงรักภักดีต่อพรรคก๊กมินตั๋งเป็นอย่างยิ่ง ปัจจุบันพ่อของหม่าอิงจิ่วเสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่ปี ค.ศ.2005 พ่อของเขาเป็นผู้ที่มีอิทธิพลสำคัญอย่างยิ่งในการทำให้หม่าอิงจิ่วสนใจการเมือง และกลายมาเป็นนักการเมืองที่สังกัดพรรคก๊กมินตั๋งเมื่อโตขึ้น
พ่อของหม่าอิงจิ่วเคยให้สัมภาษณ์ก่อนที่จะเสียชีวิตว่า เขาคาดหวังไว้ว่า "สักวันหนึ่งลูกชายของเขา คือหม่าอิงจิ่ว จะลงเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของไต้หวัน" เขาพยายามปลูกฝังความคิดนี้ในตัวลูกชายตั้งแต่ตอนที่เขายังเด็กๆ
เมื่อตอนเรียนมัธยม หม่าอิงจิ่วเรียนที่โรงเรียนมัธยมเจี้ยน กั๊วะ ซึ่งเป็นโรงเรียนมัธยมที่ดีที่สุดของไต้หวัน เขาเรียนจบปริญญาตรีทางกฎหมายจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวันเมื่อปี ค.ศ.1972 จากนั้นเดินทางไปศึกษาต่อยังประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อปี ค.ศ.1974 เนื่องจากเขาได้ทุนการศึกษาจากพรรคก๊กมินตั๋งให้ไปเรียนกฎหมายที่นั่น และเรียนจบปริญญาโทในสาขาเดิมจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กเมื่อปี ค.ศ.1976
หลังจากเรียนจบปริญญาโท หม่าอิงจิ่วทำงานเป็นที่ปรึกษาทางด้านกฎหมายที่ตลาดหุ้นวอลสตรีทในกรุงนิวยอร์กเป็นระยะเวลาสั้นๆ เขาได้พบกับโจวเหม่ยชิง หรือคริสทีน โจว ซึ่งต่อมาทั้งคู่แต่งงานกันที่นิวยอร์ก แล้วไปเรียนต่อในระดับปริญญาเอกกฎหมายที่ฮาร์วาร์ด ระหว่างเรียนปริญญาเอกอยู่นั้น เขาได้รับงานเป็นที่ปรึกษาให้กับธนาคารเครดิต สวิส เฟิสต์ บอสตัน จากนั้นได้รับเชิญให้ไปเป็นที่ปรึกษาด้านการวิจัยของคณะกฎหมายมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ และจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในปี ค.ศ.1981
ในระหว่างที่หม่าอิงจิ่วเรียนปริญญาเอกที่ฮาร์วาร์ด ภรรยาของเขาต้องทำงานหลายอย่างเพื่อช่วยค้ำจุนสามี ทั้งทำงานเป็นผู้ช่วยนักวิจัย ผู้ช่วยบรรณารักษ์ หรือแม้กระทั่งทำงานเป็นผู้จัดการในภัตตาคารจีน หลังจากที่เขาเรียนอยู่ในสหรัฐอเมริกานานถึง 8 ปี หม่าอิงจิ่วก็เดินทางกลับไต้หวันในปี ค.ศ.1981 และเริ่มต้นทำงานให้กับประธานาธิบดีเจียงจิงกั๊วะ แห่งพรรคก๊กมินตั๋ง ซึ่งเป็นบุตรชายของประธานาธิบดีเจียงไคเช็ก หม่าอิงจิ่วทำหน้าที่เป็นรองหัวหน้าสำนักงานที่หนึ่งในทำเนียบประธานาธิบดี จากนั้นกลายมาเป็นผู้ช่วยของประธานาธิบดี และทำหน้าที่แปลเอกสารภาษาอังกฤษให้กับประธานาธิบดี ซึ่งประธานาธิบดีเจียงจิงกั๊วะชื่นชอบการทำงานของหม่าอิงจิ่วเป็นอย่างมากต่อมา หม่าอิงจิ่วได้ก้าวหน้าทางหน้าที่การงานอีกขั้น เมื่อเขาได้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการวิจัย พัฒนาและประเมินผล ภายใต้สภาบริหารของไต้หวัน เมื่อตอนที่อายุได้ 38 ปี กลายเป็นสมาชิกคณะรัฐบาลที่มีอายุน้อยที่สุดของคณะรัฐบาลไต้หวัน
ในระหว่างปี ค.ศ.1984-1988 หม่าอิงจิ่วดำรงตำแหน่งเป็นรองเลขาธิการพรรคก๊กมินตั๋ง เขายังเป็นผู้แทนคณะกรรมการว่าด้วยกิจการจีนแผ่นดินใหญ่ (Mainland Affairs Council) สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในปี ค.ศ.1991 เขาได้เป็นรองประธานและเป็นโฆษกคณะกรรมการว่าด้วยกิจการจีนแผ่นดินใหญ่ ก้าวสำคัญคือการได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในปี ค.ศ.1993 โดยได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีลีเติงฮุย แต่โชคร้ายที่เขาทำงานในตำแหน่งนี้ได้ไม่นาน เพราะโดนปลดออกจากตำแหน่งในปี ค.ศ.1996 กลุ่มคนที่สนับสนุนเขากล่าวถึงสาเหตุที่เขาโดนปลดว่า เนื่องมาจากเขาต้องการกวาดล้างปัญหาคอรัปชั่น
หลังจากโดนปลด หม่าอิงจิ่วหันไปสู่แวดวงวิชาการด้วยการสอนหนังสือ ทำให้คนส่วนใหญ่เชื่อว่าบทบาททางการเมืองของเขาคงยุติลงแล้ว เขาเป็นอาจารย์สอนวิชากฎหมายที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติเจื้องจื้อเป็นเวลาสองปี และเขียนหนังสือตำรับตำราออกมาหลายเล่ม มีทั้งตำราวิชาการ 17 เล่ม และหนังสืออื่นๆ
ไม่นานนักหลังจากที่เขาโดนปลด เขาถูกเรียกกลับเข้าพรรคเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีไทเป เนื่องจากไม่มีใครในพรรคก๊กมินตั๋งที่เหมาะสมพอที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งในตำแหน่งนี้ โดยเขาต้องลงแข่งกับเฉินสุยเปี่ยน ซึ่งตอนนั้นนั่งเก้าอี้นี้มา 4 ปีแล้ว
สิ่งที่ทำให้ชาวไต้หวันจำนวนไม่น้อยกังขา คือเรื่องชาติกำเนิดของเขา คนไต้หวันถือว่าเขาเป็น "คนจีนแผ่นดินใหญ่" ไม่ใช่ชาวไต้หวันแต่กำเนิด เพราะเขาเกิดที่ฮ่องกง และมีพ่อแม่เป็นคนจีนแผ่นดินใหญ่ นอกจากนี้ หม่าอิงจิ่วยังถูกเลี้ยงขึ้นมาให้พูดแต่ภาษาจีนกลาง ไม่ได้พูดภาษาถิ่นที่คนไต้หวันใช้กันทั่วไป ตอนเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการกรุงไทเป ประธานาธิบดีลีเติงฮุยยังเคยตั้งคำถามต่อหม่าอิงจิ่วว่า บ้านเกิดเมืองนอนของเขาคือที่ไหน แต่หม่าอิงจิ่วก็สามารถตอบคำถามนี้อย่างชาญฉลาดว่า เขาเป็นชาวไต้หวันรุ่นใหม่ กินข้าวไต้หวัน และดื่มน้ำไต้หวัน
ในปี ค.ศ.1998 พรรคก๊กมินตั๋งส่งหม่าอิงจิ่วลงเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการกรุงไทเป คู่แข่งของเขาในตอนนั้นคือนายเฉินสุยเปี่ยน และหม่าอิงจิ่วสามารถเอาชนะเฉินสุยเปี่ยนได้จากคะแนนเสียงคิดเป็น 51% เขาได้รับการเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งนี้อีกครั้งในปี ค.ศ.2002 อย่างง่ายดาย โดยชนะการเลือกตั้งคิดเป็นคะแนนเสียง 64%
หม่าอิงจิ่วต้องเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์หลายเรื่อง เช่นในปี 2001 ไต้ฝุ่นนารีได้ทำให้น้ำในแม่น้ำจีหลงเอ่อล้นขึ้นมา จนทำให้รถไฟฟ้าถูกแช่น้ำเสียหายไปมากกว่าหมื่นล้านเหรียญไต้หวัน ในปี ค.ศ. 2002 ไต้ฝุ่นและน้ำท่วมได้ทำให้ขยะที่ยังไม่ทันได้เผาทำลายลอยตามน้ำไปจนเกิดเป็นมลพิษไปทั่ว เรื่องการรับมือการระบาดของโรคซาร์สในปี ค.ศ.2003 ว่าทำงานเพื่อรับมือปัญหาเรื่องนี้เชื่องช้า แถมในปีต่อมายังเกิดปัญหาเรื่องน้ำท่วมกลางกรุงไทเป ทำให้เกิดคำถามเรื่องการเป็นผู้นำของเขาว่า ดีพอที่จะรับมือแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้หรือไม่ สิ่งนี้เองที่ทำให้คะแนนนิยมในตัวเขาลดลง ซ้ำตลอดการดำรงตำแหน่งนี้หม่าอิงจิ่วยังมีปัญหากับรัฐบาลกลางตลอด
แม้ว่าหลายฝ่ายจะมองว่า การรับมือต่อสถานการณ์ฉุกเฉินของหม่าอิงจิ่วยังทำได้ไม่ดีนัก แต่ผลงานด้านการปูพรมการคมนาคมด้วยเส้นทางรถไฟฟ้า 6 สาย เชื่อมต่อโครงข่ายเส้นทางรถไฟฟ้าเข้าด้วยกัน บวกกับภาพลักษณ์ผู้นำรุ่นใหม่ที่ใส่ใจกับการออกกำลังกายและศิลปะ ทำให้เขาได้รับการเลือกตั้งกลับเข้ามาอีกครั้ง
ในวันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ.2005 หม่าอิงจิ่วได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรคก๊กมินตั๋ง โดยสามารถเอาชนะหวังจินผิงด้วยคะแนนที่มากกว่าถล่มทลาย (375,056 ต่อ 143,268 ) แต่เขาได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ.2007 เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าคอรัปชั่นในช่วงที่เป็นผู้ว่าการกรุงไทเป เขาถูกอัยการยื่นฟ้องใน "คดีงบพิเศษ" เมื่อต้นปี 2007 ว่าหม่าอิงจิ่วอาจมีความผิดในคดีคอรัปชั่น เป็นเงิน 11.7 ล้านเหรียญไต้หวัน หลักฐานที่อัยการใช้ระบุว่าหม่าอิงจิ่วได้เบียดบังงบพิเศษมาเป็นของตน ได้แก่ นายหม่าอิงจิ่วมีเงินเดือน 145,000 เหรียญไต้หวัน แต่กลับมีเงินโอนเข้าบัญชีเป็นประจำให้กับนางโจวเหม่ยชิง (ภรรยา) เดือนละ 200,000 เหรียญไต้หวัน อีกทั้งขณะที่เขาได้ยื่นรายการบัญชีให้กับเจ้าหน้าที่ตรวจสอบทรัพย์สิน ก็ไม่ได้ระบุว่ามีรายการที่มาจากงบพิเศษอยู่
หลังจากประกาศลาออกแล้ว แทนที่จะรู้สึกท้อแท้ หม่าอิงจิ่ว กลับประกาศว่าตนพร้อมจะยืนยันความบริสุทธิ์ในชั้นศาล และยังเดินหน้าประกาศลั่นว่าจะลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีที่จะเลือกตั้งในปี 2008 โดยในวันนั้นมีโพลถึง 66% ที่ให้การสนับสนุน และกว่า 61% เชื่อว่าหม่าบริสุทธิ์ คดีดังกล่าวได้มีการพิจารณาในศาลชั้นต้นและศาลชั้นกลาง ศาลชั้นกลางได้ตัดสินยืนยันตามศาลชั้นต้นว่า หม่าอิงจิ่ว "ไม่มีเจตนาทำความผิด" และ "งบพิเศษ" นั้นถือเป็นงบเสริมสำหรับผู้ว่าการกรุงไทเป จึงถือว่าเขาไม่มีความผิด
หม่าอิงจิ่วลงเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งไต้หวันในนามพรรคก๊กมินตั๋ง คู่แข่งของเขาคือนายเซี่ยฉางถิง หรือแฟรงค์ เซียะ จากพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (ดีพีพี) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายรัฐบาล ภาพพจน์ของหม่าอิงจิ่วนั้นจัดว่าเขาเป็น "นักการเมืองน้ำดี" ของไต้หวัน
แต่ในพรรคก๊กมินตั๋งเองก็มีคนไม่ชอบเขาเป็นจำนวนมาก เพราะเส้นทางมาสู่จุดสูงสุดทางการเมืองของเขาง่ายเกินไป และเหตุผลที่หลายคนมองว่า "เขาเป็นคนจีนแผ่นดินใหญ่" ไม่ใช่คนไต้หวันแท้ๆ แต่การที่เขามาได้ไกลขนาดนี้ เพราะในพรรคนั้นไม่มีคนที่ให้เลือกแล้ว การที่เขาเป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วไป โดยเฉพาะในหมู่ผู้หญิงก็เพราะการศึกษาและรูปร่างหน้าตา ทำให้มีการวิเคราะห์กันว่า หม่าอิงจิ่วอาจจะไม่สามารถควบคุมคนในพรรคก๊กมินตั๋งได้
หม่าอิงจิ่วหาเสียงโดยประกาศนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจ ชูนโยบายผูกสัมพันธ์กับจีนแผ่นดินใหญ่ และสนับสนุนการลงนามสนธิสัญญาสันติภาพกับจีนแผ่นดินใหญ่ เพื่อยุติความขัดแย้งระหว่างสองประเทศที่มีมาอย่างยาวนาน เขาประกาศว่าจะผลักดันเศรษฐกิจของประเทศ ให้เติบโตในระดับร้อยละ 6 และลดอัตราว่างงานลงให้ได้เหลือร้อยละ 3 ภายใน 8 ปี และจะฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ล้มเหลว ภายใต้การบริหารงานที่ผิดพลาดไร้ประสิทธิภาพของเฉินสุยเปี่ยน
ในวันเลือกตั้ง ประชาชนชาวไต้หวันออกไปใช้สิทธิ์อย่างถล่มทลายถึง 13,103,963 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 76.33 จากจำนวนประชาชนที่มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง 17 ล้านคน ชาวไต้หวันที่ทำงานในเมืองพากันกลับบ้านเกิดเพื่อไปเลือกตั้ง แม้กระทั่งชาวไต้หวันที่อยู่ต่างประเทศก็พากันเดินทางกลับเพื่อมาเลือกตั้งโดยเฉพาะ
หม่าอิงจิ่วชนะการเลือกตั้งเมื่อวันเสาร์ที่ 22 มีนาคม ค.ศ.2008 ตามการคาดหมาย ส่งผลให้พรรคก๊กมินตั๋งที่นอกจากจะกุมเสียงข้างมากเด็ดขาดในสภาฯ ถึง 3 ใน 4 แล้ว ยังได้กลับมาเป็นพรรครัฐบาลของไต้หวันอย่างเต็มตัวอีกครั้ง หลังจากได้รับชัยชนะ หม่าอิงจิ่วได้กล่าวย้ำจุดยืนของเขาว่า
"ชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ มิใช่เป็นชัยชนะของพรรคก๊กมินตั๋ง แต่เป็นชัยชนะของประชาชนทั่วประเทศ ที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง ต้องการเห็นชีวิตที่ดีขึ้น ต้องการเห็นการเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น และต้องการเห็นความปรองดองในชาติ ไม่ต้องการเห็นสงคราม"
มีการวิเคราะห์ว่า นโยบายที่ทำให้นายหม่าอิงจิ่วได้รับคะแนนเสียงจากประชาชนนั้นมาจาก "3 ไม่" คือ 1) ไม่รวมประเทศกับจีนแผ่นดินใหญ่ 2) ไม่แยกประเทศกับจีนแผ่นดินใหญ่ และ 3) ไม่ต่อสู้กับจีนแผ่นดินใหญ่ จากสองไม่แรกนั้นอยู่ในสถานะที่คลุมเครือ กล่าวคือ เขาต้องการให้ไต้หวันอยู่ในสภาพที่ได้ใจทั้งสองฝ่าย คือ จีนแผ่นดินใหญ่กับประชาชนชาวไต้หวัน ภารกิจเร่งด่วนที่นายหม่าอิงจิ่วหาเสียงไว้ ได้แก่ การที่จะมุ่งเน้นการพลิกฟื้นเศรษฐกิจไต้หวันให้กลับคืนสู่ความรุ่งเรืองโดยเร็ว เพื่อให้ประชาชนชาวไต้หวันมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งการที่จะทำให้เศรษฐกิจของไต้หวันฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยจีนแผ่นดินใหญ่ ให้เป็นหัวรถจักรฉุดลากเศรษฐกิจของไต้หวันให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและมั่นคง
ประชาชนเบื่อหน่ายต่ออดีตประธานาธิบดีเฉินสุยเปี่ยน ที่เน้นแต่เรื่องการแยกเอกราชจากจีน และปล่อยปละละเลยจนทำให้เศรษฐกิจของประเทศตกต่ำ จึงทำให้ประชาชนเบื่อหน่ายพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า และหันมาเลือกหม่าอิงจิ่ว เพราะประชาชนมีความหวังขึ้นมาว่า ปัญหาเศรษฐกิจถดถอยจะได้รับการเยียวยาเสียที เพราะหม่าอิงจิ่วประกาศจุดยืนสานสัมพันธ์กับจีนแผ่นดินใหญ่ โดยเฉพาะการร่วมมือกันทางการค้า อาทิ การเปิดตลาดร่วม และการเปิดเที่ยวบินตรงถึงกัน
หม่าอิงจิ่วทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 12 ของสาธารณรัฐจีนไต้หวัน ในวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ.2008 จากนั้นเขาต้องเผชิญกับความท้าทายความสามารถของเขา คือการแก้ปัญหาหนี้สินจำนวนมหาศาลสูงถึง 13 ล้านล้านหยวนไต้หวัน ซึ่งก่อขึ้นในสมัยนายเฉินสุยเปี่ยนดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งเฉลี่ยแล้วประชาชนไต้หวันต้องช่วยกันแบกรับหนี้สินคนละ 1 แสน 7 หมื่นหยวนไต้หวัน
ด้านชีวิตคู่ของผู้นำไต้หวัน คือ โจวเหม่ยชิง ซึ่งก็ยังทำงานเดิมของเธอไปเรื่อยๆ เธอเป็นคนจริงจังไม่ถือตัว แม้สามีกลายเป็นผู้นำประเทศแล้วก็ตาม เธอไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง นับเป็นเรื่องที่แตกต่างจากสตรีหมายเลขหนึ่งของประเทศคนก่อนๆ โจวเหม่ยชิงสตรีหมายเลข 1 ยังคงทำงานที่ธนาคาร Mega International Commercial Bank ฝ่ายกฎหมาย
สิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปในชีวิตเธอ คือ เธอไม่ได้ใช้บริการขนส่งสาธารณะเพื่อเดินทางไปทำงานอีกแล้ว แต่เธอมีคนขับรถส่วนตัวไปส่งยังที่ทำงาน เพราะสถานภาพใหม่ในฐานะสตรีหมายเลขหนึ่งของประเทศ อาจจะทำให้เธอไม่สามารถดำเนินชีวิตส่วนตัวบางอย่างได้ตามปกติ ปัจจุบันทั้งสองมีลูกสาวสองคน คือหม่าเว่ยซุง จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ที่เดียวกับหม่าอิงจิ่ว และหม่าหยวนชุงที่กำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยบราวน์ มหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐอเมริกา
บทบาทที่หม่าอิงจิ่วถูกจับตามองที่สุดในฐานะผู้นำไต้หวัน ทั้งจากชาวไต้หวันและชาวโลก คือ การดำเนินความสัมพันธ์กับจีนแผ่นดินใหญ่ ว่าจะออกมาในทิศทางใด เขาจะสามารถประสานรอยร้าวกับจีนแผ่นดินใหญ่ได้หรือไม่ และเขาจะสามารถแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนไต้หวันได้อย่างไร คงต้องเอาใจช่วยให้เขาฝ่าฟัน สานฝัน และสร้างสะพานสู่สันติภาพให้ได้ เพื่อความสงบสุขร่วมกันของสังคมโลก.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น