วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ปัญหาสังคมไทย

         ปัญหาสังคมไทย   

สังคมไทยในปัจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ผู้คนในสังคมมีการเบี่ยงเบนความสัมพันธ์ไปจากเดิม และสถาบันทางสังคมก็ทำหน้าที่ไม่ครบสมบูรณ์ สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้เกิดปัญหาสังคม ปัญหาสังคมไทยมีอยู่มากมาย ดังนี้
1.ปัญหายาเสพติด กำลังระบาดในหมู่เยาวชน ปัจจุบันนี้ประเทศไทยมีคนติดสิ่งเสพติดมากกว่าสองล้านคน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเยาวชน สารเสพติดที่ระบาดในประเทศไทย เช่น ฝิ่น กัญชา เฮโรอีน และแอมเฟตามีน ซึ่งในประเทศไทยมีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้นด้วย มีการลักลอบนำเข้ามายังบริเวณชายแดนใต้และภาคเหนือของไทย

แนวทางการป้องกันและแก้ไข

1.1 ภาครัฐ จะต้องส่งเสริมมาตรการป้องกันยาเสพติด เช่นการให้ความรู้ข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาสิ่งเสพติดกับประชาชนอย่างทั่วถึง โดยวิธีต่างๆไม่ว่าจะเป็นสื่อทางโทรทัศน์ วิทยุ หรือผ่านหลักสูตรการสอนในสถานบันศึกษา นอกจากนี้ภาครัฐยังควรออกมาตรการเพื่อบำบัดรักษาให้ผู้ที่ติดสิ่งเสพติดหยุดเสพให้นานที่สุดจนสามารถเลิกได้โดยเด็ดขาด ซึ่งเป็นการลดปัญหาความเดือนร้อนและยังสมมารถการแพร่กระจายของสิ่งเสพติดได้

1. 2 ภาคเอกชน ต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการรณรงค์ช่วยเหลือผู้ติดยาเสพติดให้ลดละเลิกการใช้สิ่งเสพติด รวมทั้งจัดกิจกรรมสันทนากานต่างๆให้กับเยาวชนและผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และห่างไกลจากยาเสพติด
1.3 ภาคประชาชน ให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการสอดส่องดูแลไม่ให้เกิดการระบาดของสิ่งเสพติด โดยเฉพาะครอบครัวจะต้องให้ความรักและความอบอุ่นกับสมาชิกในครอบครัว โดยพ่อแม่ต้องถือว่าสิ่งนี้เป็นความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย

2. ปัญหาเด็กและเยาวชน
ปัญหาเด็กและเยาวชนในสังคมไทยเป็นปัญหาที่สำคัญและมีความหลากหลาย เช่น เด็กเร่ร่อน ปัญหาเด็กติดยาเสพติด มั่วสุมตามสถานที่บันเทิง และปัญหาเหยื่อของโฆษณาทำให้เป็นผู้บริโภคนิยม เป็นต้น
แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา2.1 พ่อแม่จะต้องมีความรับผิดชอบต่อสมาชิกในครอบครัว โดยให้ความรักความอบอุ่นกับสมาชิกในครอบครัว และพร้อมทั้งส่งเสริมการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆของ บุตรหลาน
2.2 โรงเรียนและชุมชน ต้องส่งเสริมการจัดเวลา รวมทั้งพื้นที่ให้เด็กและเยาวชนไดแสดงศักภาพความสามารถตามความสนใจและความต้องการตามวัย
2.3 หน่วยงานของรัฐและเอกชน ต้องมีการเร่งรัดการจัดบริการนันทนาการให้เข้าถึงเด็กและเยาวชน                                                                                                                                                 2.4 สื่อมวลชน ควรสนับสนุน เผยแพร่กิจกรรมความดี ความสามารถของเด็ก เพื่อเด็กจะได้มีความภาคภูมิใจในการทำงานกิจกรรมต่างๆ

3. ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นปัญหาที่อยู่ในสังคมไทยมาเป็นเวลานาน และนับวันยิ่งรุนแรงมากยิ่งขึ้น ปัญหาคอร์รัปชั่นทำให้ประเทศชาติต้องสูญเสียงบประมาณที่ต้องนำมาใช้ในการพัฒนาประเทศชาติเป็นเวลามหาศาล เช่น การทุจริตของข้าราชการบางคนในการจัดซื้อวัสดุเพื่อนำมาสร้างถนน ทำให้ได้วัสดุที่ไม่มีคุณภาพแต่ราคาสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยตรงเพราะประชาชนต้องใช้ถนนในการสัญจร หากถนนไม่ดี ชำรุด หรือทรุดตัวก็จะทำให้ประชาชนเดือดร้อนเกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้
แนวทางการแก้ไขปัญหา 3.1 ปลูกฝังค่านิยมที่ดีให้กับเยาวชนใสังคม โดยผู้ใหญ่ควรเป็นแบบอย่างที่ดีและปลูกฝังเยาวชนให้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนร่วมเป็นสำคัญ
3.2 ภาครัฐควรรณรงค์ให้คนในสังคมรังเกียจการทุจริต เน้นความซื่อสัตย์ และความภาคภูมิใจในศักดิ์ศรีของตนเอง
3.3 กฎหมายไทย ควรมีบทลงโทษทางสังคมต่อผู้ที่กระทำการทุจริตอย่างเข้มงวด เพื่อไม่ให้มีการใช่ช่องโหว่ทางกฎหมายในการช่วยเหลือพวกพ้องให้พ้นผิด
3.4 คนในสังคมจะต้องให้ความร่วมมือ และให้การสนับสนุนองค์กรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบและขจัดการทุจริต เช่น สำนักงานคณะกรรมการป้องกันการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นต้น
3.5 สื่อมวลชนต้องให้ความสนใจในการติดตามการดำเนินงานของรัฐ และเปิดโปงปัญหาที่เกิดขึ้นให้สังคมได้รับรู้ เพื่อให้ประชาชนทราบว่าปัญหานี้เป็นอันตรายต่อสังคมมากเพียงใด

2 ปัญหาเด็กติดเกมส์ ปัญหาเด็กติดเกมส์ไม่เพียงแต่เป็นปัญหาสำคัญใน ประเทศไทยเท่านั้น ในต่างประเทศก็ประสบปัญหาเช่น เดียวกัน ในขณะที่ผู้ปกครองยังไม่ให้ความสำคัญ อีกทั้งเด็กยังสามารถเข้าถึงเกมส์ได้ง่าย ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของเกมส์เพลย์ เกมส์ตู้ เกมส์คอมพิวเตอร์ หรือ เกมส์ออนไลน์ ที่ทำให้เด็กสามารถเล่นเกมส์ได้ทั้งที่บ้าน ห้างสรรพสินค้า หรือร้านอินเทอร์เน็ต 


เกมส์ในยุคนี้ยังมีความหลากหลาย ทั้งภาพ แสง สี และเสียง ความสมจริงที่ผู้เล่นสามารถสวมบทบาทเป็นตัวละครในเกมส์ได้ ทำให้เข้าถึงอารมณ์ในเกมส์ และเกมส์ออนไลน์ยังเป็นช่องทางให้เด็กได้มีเพื่อนใหม่ที่มีความสนใจเรื่องเกมส์เช่นเดียวกัน ประกอบกับเวลาว่างที่เด็กบางคนมีมากจนเกินไป การขาดระเบียบวินัยในการจัดการตนเอง ทำให้เด็กติดเกมส์ในที่สุด
กระทรวงไอซีทีเองไม่ได้นิ่งนอนใจเร่งหามาตรการควบคุมปัญหาเด็กติดเกมส์ ซึ่งปัญหาเด็กติดเกมส์เริ่มรุนแรงขึ้น จึงต้องเร่งหามาตรการควบคุม โดยที่ผ่านมากระทรวงไอซีทีได้ออกมาตรการต่างๆเพื่อแก้ปัญหาเด็กติดเกมส์ เช่น การสร้างคำเตือนบนหน้าจอ การควบคุมเซิร์ฟเวอร์เกมส์ และการสร้างกิจกรรมทางเลือกในด้านบวกให้กับเด็กๆ
นอกจากนี้ทางกระทรวงยังได้กำหนดแนวทางการควบคุมร้านอินเทอร์เน็ตไว้ 2 แนวทาง คือ ร้านอินเทอร์เน็ตที่มีอยู่เดิมและร้านอินเทอร์เน็ตที่เปิดใหม่ โดยร้านอินเทอร์เน็ตเดิมจะให้ชมรมกู๊ดเน็ตเข้าไปยกระดับคุณภาพ และควบคุมกันเองเพื่อให้ตรงตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงไอซีทีกำหนดไว้เกี่ยวกับ การให้บริการร้านอินเทอร์เน็ต ว่า สภาพแวดล้อมต้องดี ปลอดโปร่ง มีแสงสว่างเพียงพอ ไม่มีมลพิษ ห้ามเล่นการพนันและห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เข้าใช้บริการก่อนเวลา 14.00 น. และ 22.00 น. การที่เด็กนั้นใช้เวลาว่างมาเล่นเกมส์ ไม่สนใจแม้แต่การลุกไปทานข้าวกับครอบครัว ไม่สนใจในการเรียน การงาน และกิจกรรมอื่น ๆ มองข้ามความสำคัญของคนรอบตัว หมกมุ่นอยู่หน้าจอทั้งวัน มีความสุขเมื่อได้เล่น จะหงุดหงิดโมโหจนถึงขั้นแสดงออกไปในแนวทางก้าวร้าวเมื่อไม่ได้เล่น หรือถูกขัดคอขณะเล่น อาการเหล่านี้ถือได้ว่าเด็กคนนี้ “ติดเกมส์” คล้ายคนติดสารเสพติด
“เด็กติดเกมส์” จึงกลายเป็นปัญหาที่ทุกๆฝ่ายต้องเร่งแก้ไขเอาใจใส่ดูแลอย่างเร่งด่วน โดยเริ่มที่ตัวบุคคลเป็นหลัก ทั้งเด็ก พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ครู และคนรอบข้าง โดยสามารถสังเกตพฤติกรรมการติดเกมส์ของเด็กง่ายคือ หากเด็กเริ่มสนุกสนาน อยากรู้ อยากเห็น อยากลองเล่นเกมส์ นั่นหมายถึงเด็กเริ่มชอบเกมส์แล้ว หากเด็กเริ่มรู้สึกภูมิใจ สนุกสนานเริ่มคุยเรื่องในเกมส์มากขึ้น พร้อมทั้งเริ่มเล่นในยามว่าง นั่นแสดงว่า เด็กเริ่มหลงใหล คลั่งไคล้เกมส์ และเมื่อพบว่าเด็กเล่นเกมส์อย่างเดียว โดยไม่สนใจอย่างอื่น หมกมุ่นอยู่กับเกมส์ทั้งวัน ครุ่นคิดแต่เรื่องเกมส์ มองเห็นภาพเกมส์ในสมองตนเอง แสดงออกในทางก้าวร้าว นี่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่า “เด็กติดเกมส์” แล้ว
ที่น่าห่วงเพราะในปัจจุบันเกมส์ตามท้องตลาด ล้วนเป็นเกมส์เกี่ยวกับการต่อสู้ และสงคราม มีการรบราฆ่าฟันกัน และมีความรุนแรงแฝงอยู่ภายในเกมส์นั้นๆ ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมการลอกเลียนแบบของเด็กและเยาวชน เป็นการบ่มเพาะพฤติกรรมด้านลบ และเด็กจะเรียนรู้พฤติกรรมแบบผิดๆไป
ภัยร้ายบนโลกอินเทอร์เน็ต โลกของการสื่อสาร สิ่งทำให้ทุกอย่างในโลกย่อส่วนมาอยู่ใกล้แค่คลิก! เข้าไป สิ่งเหล่านี้ทั้งทันสมัย สวยงาม จนทำให้หลายคนอาจมองข้ามปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมา โดยไม่ได้คาดคิดว่าจุดเล็กๆอย่างเกมส์คอมพิวเตอร์ จะนำพามาซึ่งปัญหาสังคมต่อไปในอนาคต ถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันแก้ไข

การแก้ปัญหาเด็กติดเกมส์

  สิ่งที่ครอบครัวควรปฏิบัติเพื่อป้องกันปัญหาเด็กติดเกมส์ 1.ก่อนจะซื้อเกมหรือคอมพิวเตอร์เข้ามาในบ้าน ควรคุยกับเด็กเพื่อกำหนดกติกาการเล่นเกมกันล่วงหน้าอย่างชัดเจนเสียก่อนว่าจะอนุญาตให้เด็กเล่นเกมได้วันใด เวลาใดบ้าง เล่นแต่ละครั้งนานกี่ชั่วโมงก่อนจะเล่นต้องรับผิดชอบทำอะไรให้เรียบร้อยก่อน เช่น ทำการบ้าน หรืองานบ้านที่รับผิดชอบให้เสร็จก่อนควรให้เด็กเล่นเกมเฉพาะวันหยุด เช่น เย็นวันศุกร์ วันเสาร์ และวันอาทิตย์ ครั้งละไม่เกิน 1ชั่วโมงในเด็กประถม ไม่เกิน 2 ชั่วโมงในเด็กวัยรุ่น และหากเด็กไม่รักษากติกา เช่น เล่นเกินเวลาไม่ทำการบ้านให้เสร็จก่อน เด็กจะต้องรับผิดชอบอย่างไร เช่น ริบเกมหรือตัดสิทธิในการเล่นเกมเป็นเวลาระยะหนึ่ง คุณหมอแนะนำว่าให้เขียนกฎ กติกา มารยาทไว้ในที่เห็นชัด เช่น หน้าคอมพิวเตอร์ และมีสมุดลงบันทึกการใช้งานคอมพิวเตอร์
2.ไม่ควรวางคอมพิวเตอร์หรือเครื่องเล่นเกมไว้ในห้องนอนเด็ก ควรวางไว้เป็นสมบัติส่วนรวมของบ้านมีคนเดินผ่านไปมาบ่อย ๆ เช่น ห้องนั่งเล่น เพื่อที่ผู้ปกครองจะได้ติดตามเฝ้าดูได้
3.วางนาฬิกาไว้หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์หรือเครื่องเล่นเกม หรือในจุดที่เด็กมองเห็นเวลาได้ชัด
4.ควรชมเมื่อเด็กรักษาและควบคุมตัวเองเวลาในการเล่นเกมได้
5.เอาจริงและเด็ดขาด เมื่อเด็กไม่รักษากติกา ไม่ใจอ่อน แม้ว่าเด็กจะโวยวาย เช่น ริบเกม และพ่อแม่ควรกลับมาทบทวนอย่างจริงจังว่า เกิดปัญหาอุปสรรคใดที่ทำให้เด็กไม่ทำตามกติกา ควรคุยกับเด็กเพื่อหาทางแก้ปัญหาร่วมกัน เช่น กำหนดกติกาเพิ่มเติม เช่น ให้เด็กเตือนตัวเองก่อน ถ้าไม่ได้พ่อแม่อาจเตือน 1 ครั้งล่วงหน้าก่อนหมดเวลา 10 นาที เมื่อหมดเวลา พ่อแม่จะเตือน และให้เด็กเลือกว่าเด็กจะหยุดเล่นเกมแล้วเซฟไว้ หรือจะให้พ่อแม่ปิดเครื่อง โดยไม่มีการต่อรอง
6.สร้างสัมพันธภาพที่ดีกับเด็ก สร้างบรรยากาศในครอบครัวให้อบอุ่น น่าอยู่
7.ส่งเสริมให้เด็กมีกิจกรรมอื่นที่สนุกสนานและเด็กสนใจ แทนการเล่นเกม เช่น ช่วยพ่อปลูกต้นไม้
8.ฝึกระเบียบวินัย สอนให้เด็กรู้จักแบ่งเวลา
9.พ่อแม่ควรมีความรู้เกี่ยวกับเกม แยกแยะประเภทของเกม เลือกใช้เกมที่เป็นประโยชน์ ควรพูดคุยและให้ความรู้สอดแทรกให้ลูกเข้าใจและยอมรับได้ว่าการเล่นเกมที่ดีควรเลือกเกมอะไร เกมที่ไม่ส่งเสริมให้เล่น เพราะอะไร
ถ้าพบว่าเด็กติดเกมแล้ว พ่อแม่ควรปฏิบัติดังนี้
1.หากในบ้านยังไม่มีกฎหรือกติกาการเล่นเกม พ่อแม่ต้องวางกติกา โดยพูดคุยกับเด็ก เพื่อกำหนดกติกากันล่วงหน้าก่อนจะซื้อเกม
2.พ่อแม่ควรมีเวลาอยู่กับเด็กมากขึ้น พาออกนอกบ้าน เพื่อไปทำกิจกรรมที่เด็กชอบ (ยกเว้นการไปเล่นเกมนอกบ้าน) เนื่องจากเด็กส่วนหนึ่งติดเกมเพราะความเหงา เบื่อไม่มีอะไรสนุกๆ ทำ
3.พ่อแม่ควรรักษาสัมพันธภาพที่ดีกับเด็ก หลีกเลี่ยงการบ่นด่า ตำหนิ ใช้อารมณ์ หรือถ้อยคำรุนแรง แสดงความเห็นใจ เข้าใจว่าเด็กไม่สามารถควบคุมตัวเอง หรือตัดขาดจากเกมได้จริงๆ
4.พ่อแม่ และผู้ใหญ่ทุกคนในบ้านต้องร่วมมือกันในการแก้ปัญหา โดยใช้กฎเดียวกัน อย่าปัดให้เป็นภาระหรือความรับผิดชอบของใครคนใดคนหนึ่ง
5.สร้างเครือข่ายผู้ปกครองที่มีเด็กติดเกมเหมือนๆ กันหลายๆ ครอบครัว แล้วผลัดกันนำเด็กทำกิจกรรมหลังเลิกเรียน หรือในวันหยุด เช่น Camping, field trip, walk rally ฯลฯ จัดตั้งกลุ่มย่อยๆ เช่น sport club, adventure club เป็นต้น
6.ในรายที่ติดมากจริงๆ และเด็กต่อต้านรุนแรงที่จะเลิก ในระยะแรกพ่อแม่อาจเข้าไปมีส่วนร่วมในการเล่นเกมกับเด็ก ทำความรู้จักกับเกมที่เด็กชอบเล่น หากเห็นว่าเป็นเกมที่ไม่เหมาะสมหรือเกมที่ใช้ความรุนแรง พยายามเบี่ยงเบนให้เด็กมาสนใจเกมอื่นที่พอจะมีส่วนดี ดึงเอาส่วนดีของเกมมาสอนเด็ก เช่น เกมสร้างเมือง หรือ Strategic game ต่างๆ เมื่อสัมพันธ์ภาพกับเด็กเริ่มดีขึ้น พ่อแม่จึงค่อยๆ ดึงเด็กให้มาสนใจในกิจกรรมอื่นทีละเล็กทีละน้อย
7.หากทำทุกวิธีข้างต้นแล้วไม่ได้ผล หรือในกรณีที่สงสัยว่าเด็กอาจมีปัญหาทางจิตใจ หรือโรคทางจิตเวช เช่น ภาวะซึมเศร้า หรือสมาธิสั้น ควรส่งเด็ก เพื่อรับการวินิจฉัย และบำบัดรักษาจากจิตแพทย์ หรือจิตแพทย์
รัฐบาล การแก้ปัญหาต้องได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่าย รัฐควรออกมาตรการจัดโซนนิ่งร้านเกม คาราโอเกะและอื่นๆ ที่เข้าข่ายเป็นสถานบริการ ต้องขออนุญาต แล้วมีเวลาเปิด-ปิด ที่ชัดเจน ไม่ควรอนุญาตให้ตั้งใกล้โรงเรียน รวมทั้งเจ้าของร้านเห็นเด็กที่อยู่ในวัยเรียนมาเล่นเกมในช่วงเวลาเรียนก็ควรให้เด็กกลับไปเรียน
ผู้ประกอบกิจการร้านเกมส์คอมพิวเตอร์ กฎหมายที่เกี่ยวกับร้านเกมคอมพิวเตอร์ออนไลน์ 1.เวลาทำการ
- ให้บริการสำหรับประชาชนทั่วไปได้ ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง (ไม่กำหนดเวลาปิด-เปิด)
- ให้บริการ สำหรับ ผู้ทีมีอายุไม่เกิน 18 ปี ไม่เกินเวลา 22.00 น (ยกเว้น จะได้รับการอนุญาต จากผู้ปกครอง เป็นลายลักษณ์อักษร)
- ให้บริการ สำหรับเด็กและเยาวชน มีอายุไม่เกิน 15 ปี ตั้งแต่เวลา 14.00 น ถึงเวลา 22.00น. (ยกเว้น วันหยุดเรียนของสถานศึกษา และ การใช้บริการอินเตอร์เน็ตเพื่อการศึกษา)
2.สถานที่ประกอบการ
- สถานที่ ต้องมีความสะอาด ไม่แออัด มีแสงสว่างเพียงพอ
- มีความปลอดภัย โดยเฉพาะความปลอดภัยในด้านกระแสไฟฟ้า
- มีห้องน้ำไว้บริการ ตามความเหมาะสม - ปลอดจากมลภาวะทางเสียง
3.คุณสมบัติอื่นๆ
- ต้องจดทะเบียนกับทางราชการอย่างถูกต้อง
- ให้บริการ และใช้โปรแกรมซอฟแวร์ที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย
- ให้บริการ สำหรับด้านการศึกษา เทียบเท่า การให้บริการทางด้านเกมส์คอมพิวเตอร์ (กรณี ให้บริการทั้งสองประเภท)
- ดูแล และสอดส่อง ไม่ให้เด็กและ เยาวชน ใช้บริการนานเกินสมควร
- ไม่สนับสนุน ให้เด็ก และเยาวชน ที่หนีเรียน มาใช้บริการ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
- ไม่มีสิ่งเสพติด ของมึนเมา หรืออบายมุขใดๆอยู่ในสถานประกอบการ
- ไม่อนุญาตให้มีการสูบบุหรี่ ในสถานประกอบการ
- ไม่มีสื่อลามกอนาจารใดๆ ในสถานประกอบการ
- ไม่ให้มีการพนัน เกิดขึ้น ในสถานประกอบการ
- มีความสัมพันธ์อันดีกับชุมชน และให้ความร่วมมือกับ ผู้ปกครอง/โรงเรียน และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง
- เป็นแหล่งสนับสนุนการศึกษา และค้นคว้าหาความรู้แก่เด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไป

ปัญหาวัยรุ่นตีกัน



เมื่อกล่าวถึงวัยรุ่น หลายคนก็มักมองกันไปได้หลากหลายรูปแบบ หลายความคิด บางคนอาจมองว่าเป็นวัยสดใส วัยริเริ่มทำสิ่งใหม่ๆ เป็นวัยที่มีพลัง มีความคิดเป็นของตัวเองสูง และก็เป็นวัยที่ รุนแรงก้าวร้าว คำนี้ มักมีอยู่ในช่วงวัยรุ่นเสมอ เนื่องจากวัยรุ่นเป็นวัยที่อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ พยายามที่จะค้นหาความเข้าใจในตน ความคึกคะนอง บางคนก็ค้นพบตนเองในทางที่ถูกต้อง แต่บางคนกลับหันเหไปในทางที่ผิด ทำให้เป็นบ่อเกิดของปัญหาที่เราเห็นในปัจจุบัน



ปัญหาการทะเลาะวิวาทของเด็กวัยรุ่นยิ่งนับวันยิ่งทวีความรุ่นแรงมากขึ้นถือได้ว่าเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มของวัยรุ่นที่ดิ่มแอกกอฮอล์เป็นประจำ เมื่อดื่มฮอล์ก็จะทำให้ผุ้ดื่มขาดสติ จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาหลายเหตุการณ์ทำให้สะเทือนขวัญเป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็นการทะเลาะวิวาทหรือการตีกันของเด็กวัยรุ่นหรือนักศึกษาต่างสถาบัน จนเป็นต้นเหตุของการได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต นับว่าเป็นการสูญเป็นอย่างมาก จากการกระทำที่ผิด ๆ ของเด็กวัยรุ่น ซึ่งสาเหตุมาจากการความคึกนอง ความรู้เท่าไม่ถึงการ หรืออาจจะรรวมถึงปัญหาจากทางบ้าน ทำให้วัยรุ่นขาดความยั้งคิดยั้งทำ แต่ที่น่าเป็นห่วงที่สุดในตอนนี้คือ ผู้หญิงที่กลายมาเป็นคนก่อเรื่องเสียเอง จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้มีโอกาสได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทของวันรุ่นกลุ่มหนึ่ง สิ่งที่ข้าพเจ้าเห็นและแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองก็คือ ผู้หญิงเป็นคนเดินมาหาเรื่องผู้ชาย ที่หนักกว่านั้นคือ อาวุธที่อยู่ในมือ (มีด) ทีแรกข้าพเจ้าคิดว่าเขาคงถือไว้ขู่คงไม่กล้าเอาไปฟันใครหรอก แต่ข้าพเจ้าคิดผิด ผู้หญิงคนนั้นวิ่งเข้าไปฟันผู้ชายของกลุ่มคู่อริ จากนั้นก็เกิดการตะลุมบอนกันขึ้น หากวันนั้นตำรวจมาไม่ทันข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าเหตุการณ์นั้นจะจบอย่างไร นี่ถือเป็นอีกตัวอย่างของการดื่มสุรา จนทำใหขาดสติ




การทะเลาะวิวาทกันเป็นเรื่องที่มีมานานแล้ว แต่นับวันการทะเลาะกันดูจะรุนแรงมากขึ้น จากแค่ตบตีกันโดยไม่มีอาวุธ ก็เพิ่มอาวุธต่างๆเข้ามา ระดับของความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะมุ่งเน้นไปที่ประเด็นระดับความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นอย่างเดียวไม่ได้ เพราะไม่ว่าการใช้ความรุนแรงจะมากหรือน้อยระดับใด ก็ยังคงเป็นการใช้ความรุนแรงอยู่นั่นเอง ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่า ระดับใช้ความรุนแรงมากหรือน้อย หากแต่อยู่ที่เหตุใดวัยรุ่นสมัยนี้จึงนิยมเลือกใช้ความรุนแรงในการยุติปัญหา ทั้งที่มีทางเลือกอื่นอีกมากมาย สาเหตุมาจากหลายๆอย่างประกอบกัน ไม่ว่าจะโดยสื่อที่นำเสนอภาพความรุนแรง โดยเฉพาะในละครไทยที่มีภาพการตบตีแย่งชิงผู้ชายอยู่ให้เห็นเกือบทุกเรื่อง หรือจากภาพยนตร์ ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ เยาวชนได้ซึมซับเข้าไปทุกวันอย่างไม่รู้ตัว พฤติกรรมการลอกเลียนแบบมีให้เห็นอยู่บ่อยๆ เช่นการถ่ายคลิปการทะเลาะวิวาท ที่กลายเป็นที่นิยมแพร่หลายในหมู่วัยรุ่น ซึ่งเป็นการลอกเลียนที่ผิดๆ อีกทั้งวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่น้อยลงของวัยรุ่น ทำให้ขาดความยั้งคิดในการตัดสินใจ ที่สำคัญคือพ่อแม่ผู้ปกครองรวมถึงทางโรงเรียน ควรสอดส่องพฤติกรรมเด็กอย่างใกล้ชิด เพื่อหาทางป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงขึ้น

แนวทางการแก้ไขปัญหาเด็กตีกัน

มาตรการแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาการทะเลาะวิวาทของวัยรุ่น  6 ประการ มีดังนี้
          1. มาตรการส่งเสริมความเข้มแข็งให้กับสถาบันครอบครัว  โดยการจัดอบรมบิดา มารดา ผู้ปกครองให้มีความรู้ความเข้าใจ มีทักษะ สามารถดูแลและส่งเสริมศักยภาพเด็กและเยาวชนได้อย่างเหมาะสมตามวัย  และให้มีการจัดตั้งศูนย์บริการครอบครัวในชุมชน  ตลอดจนการเพิ่มพื้นที่หรือกิจกรรมสำหรับครอบครัวและพัฒนาสื่อในการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจให้แก่ครอบครัว โดยจัดเป็นแผนยุทธศาสตร์ในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับชุมชน จังหวัด และประเทศ
         2. มาตรการส่งเสริมศักยภาพประคองผ่านวัยในเด็กและเยาวชน โดยการเสริมสร้างพัฒนาศักยภาพตามวัยด้วยกิจกรรมสร้างสรรค์ทุกรูปแบบตั้งแต่วัยเด็ก เยาวชนถึงวัยผู้ใหญ่ โดยเปิดโอกาสให้เยาวชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง ประกอบด้วยยุทธศาสตร์การขับเคลื่อน 5 ระดับ คือ ระดับเด็กและเยาวชน ระดับครอบครัว ระดับชุมชน ระดับจังหวัดและภูมิภาค และระดับชาติ
         3. มาตรการจัดระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษา โดยการใช้ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน  เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและแก้ไขวิกฤตสังคมให้เป็นมาตรฐานกลางของกระทรวงศึกษาธิการ  และมีระบบติดตามประเมินผลให้เป็นไปตามมาตรฐานซึ่งมีการดำเนินงาน คือ การศึกษานักเรียนเป็นรายบุคคล  การคัดกรองนักเรียน การส่งเสริมนักเรียน การป้องกันและแก้ไขปัญหาและการส่งต่อ  นอกจากนี้สถานศึกษาต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 (มาตรา 63) อันเกี่ยวกับการจัดความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างนักเรียน ครู และผู้ปกครอง
         4. มาตรการส่งเสริมระบบเครือข่ายผู้ปกครองในโรงเรียนและสถานศึกษา  ซึ่งต้องมีการจัดทำมาตรฐานกลางการปฐมนิเทศนักเรียน นักศึกษา ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันภายใต้ความคิดผู้ปกครองต้องมีส่วนร่วมในระบบการศึกษาของสถาบันการศึกษาตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาในการปฐมนิเทศ และการติดตามประเมินผลสถานศึกษาให้เป็นไปตามมาตรฐานกลาง ตลอดจนการเสนอคณะรัฐมนตรีให้วันประชุมผู้ปกครองเป็นวันลาที่ไม่นับเป็นวันลา ซึ่งผู้ปกครองไม่ถูกหักค่าแรงหรือขาดงาน  นอกจากนี้ควรมีการจัดอบรมให้อาจารย์ฝ่ายแนะแนวและอาจารย์ฝ่ายปกครองมีความรู้  ความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิเด็กและจิตวิทยาพัฒนาการในแต่ละช่วงวัยเพื่อเป็นวิทยากรตัวคูณ ในการอบรมให้กับผู้ปกครอง โดยกำหนดให้เป็นหัวข้อบังคับในการปฐมนิเทศซึ่งอาจจะมีใบประกาศรับรองให้ผู้ปกครองที่ผ่านการอบรมหลักสูตรดังกล่าว
         5. มาตรการปรับปรุงระบบการเรียนการสอนและสภาพแวดล้อมในโรงเรียนอาชีวศึกษาให้มีคุณภาพ โดยการปรับโครงสร้างสายงานการกำกับดูแลโรงเรียนอาชีวศึกษาของรัฐและเอกชนให้ขึ้นตรงต่อสายงานเดียวกันเพื่อเป็นเอกภาพในการกำกับดูแลให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน กำหนดมาตรฐานโรงเรียนอาชีวศึกษาที่สังกัดภาครัฐและภาคเอกชนให้อยู่ในมาตรฐานเดียวกัน  จัดทำฐานข้อมูลโรงเรียนอาชีวศึกษา  ตลอดจนมีนโยบายในการปรับปรุงการเรียนการสอนและสภาพแวดล้อมในโรงเรียน
             6. มาตรการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาแบบมีส่วนร่วมเพื่อการแก้ไขปัญหาเชิงรุก โดยการส่งเสริมการประกวดนวัตกรรมความเป็นเลิศในสายอาชีพทั้งในด้านสิ่งประดิษฐ์และด้านสังคม  และการจัดนิทรรศการและเวทีเครือข่ายในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันอย่างต่อเนื่อง  โดยมีการบูรณาการร่วมกันจากหลายภาคส่วน  คือ สถานศึกษา องค์กรพัฒนาชุมชน  ผู้ประกอบการ ผู้เชี่ยวชาญในวิชาชีพ เป็นต้น


แนวทางปฏิบัติในการแก้ไขปัญหาการทะเลาะวิวาทของวัยรุ่น  1.ให้ทางสถาบันการศึกษาแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจค้นอาวุธนักศึกษาทั้งเข้าและออก รวมทั้งหลังจากที่นักศึกษากลับบ้าน   ติดตั้งโทรทัศน์วงจรปิดประตูทางเข้าออก รวมทั้งฝั่งตรงข้ามสถาบัน
2. ขอให้ผู้ใหญ่ทั้งในโรงเรียน ในบ้านและในสังคม เป็นแบบอย่างในสิ่งที่ผู้ใหญ่ต้องการให้เยาวชนเป็นคนกล้าแสดงออกที่เหมาะสมกับกาลเทศะ รวมทั้งส่งเสริมการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย มีความพร้อมทั้งทางความคิดและความรับผิดชอบต่อผลที่ตามมา
3. บทบาทของพ่อแม่ สิ่งที่พ่อแม่จะช่วยส่งเสริมให้เกิดขึ้น  คือ  สร้างความสัมพันธ์ที่ดี กับเด็ก มีความใกล้ชิดสนิทสนมกันต่อเนื่องสม่ำเสมอ  และยาวนานพอ ให้รางวัลในพฤติกรรมที่ดี  พฤติกรรมที่ต้องการให้เกิดขึ้นอีก  การให้รางวัลไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งของ  หรือเงิน  อาจให้คำชม  การชื่นชม  เอาจริงกับสิ่งที่ตกลงกันไว้  ถ้ามีการละเมิดข้อตกลง  ต้องมีวิธีการเตือนที่ได้ผล  พ่อแม่ควรทบทวนดูเสมอว่า  วิธีการเตือนแบบใดที่ไม่ได้ผลก็ควรเลิกใช้   การเตือนที่ได้ผลมักจะเกิดจากการตกลงกันไว้ล่วงหน้า  และเมื่อเตือนแล้วกำกับให้เกิดผลอย่างจริงจัง ทันที  เด็กจะเรียนรู้ว่าพ่อแม่เอาจริงกับสิ่งที่พูด  และตกลงกันล่วงหน้า  เมื่อมีการตกลงกันในเรื่องใดๆอีก โดยใช้หลัก 
-        พ่อแม่ควรรู้เขา รู้เรา  เข้าใจความคิดความรู้สึกของลูก  คาดคะเนเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ว่า  ลูกน่าจะคิดอย่างไร  รู้สึกอย่างไร  น่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมา  รู้จุดเด่น จุดอ่อน ของลูก
-        รับฟังได้มากขึ้น  เกิดการยอมรับกัน  ประนีประนอมกัน
-        สร้างขอบเขตที่เหมาะสมได้ง่าย  เคารพในกติกาที่ช่วยกันสร้างขึ้น
-        ส่งเสริม  ชี้แนะ  แนะนำ  ตักเตือน
-        ยืนยันในเรื่องที่ “วิกฤต”  เท่าที่จำเป็น ไม่ควรมีมากนัก  
            4.ทำให้โรงเรียนหรือสถาบันน่าอยู่ และสร้างการเรียนรู้ในสถานที่ที่เด็กชอบหนีไปเที่ยว ติดตามศิษย์เก่าที่มีพฤติกรรมไม่ดี  ชอบมายุแหย่รุ่นน้องให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่ดีมักเตือนและให้คำแนะนำว่าเป็นเหตุให้เกิดความสูญเสีย  ไม่เพียงแต่จะสร้างปัญหาให้กับตัวเองแล้ว ยังทำให้สถาบันการศึกษาเสื่อมเสียชื่อเสียง และที่สำคัญกว่านั้นคือเป็นปัญหาให้กับสังคมและคนรอบข้างโดยเฉพาะกลุ่มเพื่อน  จึงควรมีการเปลี่ยนพฤติกรรมโดยใช้เพื่อน
-        สร้างบรรยากาศของการอยู่ร่วมกันแบบกลุ่ม  ไม่โดดเดี่ยว  ไม่เอาตัวรอดคนเดียว  เพื่อนมีหน้าที่ช่วยเหลือกัน
-        สร้างความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน  เป็นห่วงเป็นใยกัน  เมื่อมีใครหายไปเพื่อนควรสนใจ  เป็นห่วงเป็นใย  ติดตามข่าวสาร  พยายามดึงเพื่อนเข้ากลุ่ม  มีการแบ่งปันกัน  ช่วยเหลือกัน
-        เมื่อมีเพื่อนทำผิด  เพื่อนที่ดีควรช่วยเตือน และชักจูงให้เปลี่ยนแปลง  เลิกทำผิด  กลับมาทำดี โดยไม่โกรธกัน  มองกันในทางที่ดี
-        ฝึกทักษะการสื่อสารที่ดี  บอกความคิด  ความต้องการ  ความรู้สึก  เมื่อไม่พอใจมีวิธีบอกให้เพื่อนเข้าใจ  และสนองความต้องการกันได้ตรงจุด
-        ฝึกทักษะสังคมทางบวก  การให้  การรับ  การขอโทษ  การขอบคุณ  การเข้าคิว  รอคอย  การทำดีต่อกัน  การพูดดีๆ  สุภาพ  อ่อนโยน  ทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อกัน
การเป็นคนมีน้ำใจ สนุกสนานร่าเริง ชอบช่วยเหลือผู้อื่น การกระทำเหล่านี้ก็น่าจะทำให้วัยรุ่นมีเพื่อนได้อย่างที่ตนต้องการโดยไม่จำเป็นที่จะต้องแสวงหาเพื่อนด้วยวิธีผิดๆ
5. บทบาทของครู ครูควรมีบทบาทส่งเสริมพัฒนาการต่อจากพ่อแม่  ด้วยการส่งเสริมพัฒนาการเด็กทุกด้านเช่นกัน  โดยเฉพาะพัฒนาการด้านสังคม  และจริยธรรม   ใช้หลักพฤติกรรมบำบัดเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเด็ก  และถ้าจำเป็นต้องลงโทษ  ควรมีหลักการลงโทษที่ดี  ได้ผล  และไม่เกิดผลเสียตามมา   เมื่อเด็กเริ่มมีปัญหา  ครูควรมีมาตรการจัดการให้ความช่วยเหลือโดยเร็ว   โรงเรียนควรมีระบบการให้ความช่วยเหลือเด็กอย่างชัดเจน  มีการประสานงานกับแหล่งทรัพยากรที่จะให้ความช่วยเหลือได้  เช่นทีมงานสุขภาพจิตที่อยู่ใกล้เคียง  เป็นต้น 

6.จัดทำประวัตินักศึกษาปี 1 ที่เพิ่งเข้าเรียนใหม่นำข้อมูลส่งตำรวจติดตามพฤติกรรม  ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้กำหนดแผนป้องกัน และระงับเหตุนักเรียน นักศึกษาก่อเหตุทะเลาะวิวาท โดยสำรวจและจัดทำข้อมูลสถานศึกษาที่มีนักเรียนก่อเหตุบ่อยครั้ง หรือกลุ่มนักเรียนที่มีแนวโน้มจะกระทำผิด สถานที่ที่จะกระทำผิด โดยให้มีการจัดตั้งศูนย์ประสานงาน ระหว่างสถานศึกษากับตำรวจ เฝ้าระวังติดตามพฤติกรรมนักเรียนใน และนอกสถานศึกษา กวดขันสถานบันเทิงซึ่งเป็นแหล่งมั่วสุม จู่โจมตรวจค้นสถานศึกษาหรือสถานที่ข้างเคียงซึ่งใช้ซุกซ่อนอาวุธ จัดกิจกรรมละลายพฤติกรรมในค่ายทหาร

7. สร้างทางเลือกในกิจกรรมที่เร้าใจเยาวชน จัดกิจกรรมระหว่างสถาบันการศึกษา เช่น การพัฒนาวัด ทำบุญร่วมกัน  จัดการเรียนรู้ให้เยาวชนเห็นผลกระทบที่เป็นรูปธรรม ทั้งดีและร้ายของการพนัน การเสพยา พฤติกรรมเพศที่ไม่เหมาะสม รวมทั้งสร้างวินัยให้เยาวชนเข้าใจขอบเขตที่เหมาะสม ที่ไม่เป็นผลร้ายแก่ตัวเองและผู้อื่น

8. จัดตำรวจหรือผู้ที่มีความรู้ทางด้านกฎหมายเข้าไปเป็นวิทยากรอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับข้อกฎหมายและบทลงโทษแก่เยาวชนที่กระทำความผิด  นักศึกษาอาชีวศึกษาที่ก่อเหตุทะเลาะวิวาทต้องถูกลงโทษด้วยกฎหมายที่เด็ดขาด   เชื่อว่าน่าจะมีผลให้นักศึกษาหวาดเกรงโทษ และก่อเหตุน้อยลง เพราะที่ผ่านมามีแต่การพูดถึงว่าต้องถูกลงโทษ แต่ยังไม่เคยเห็นเป็นรูปธรรม ส่วนที่มีผู้เสนอว่าน่าจะเชิญผู้แทนอัยการ และผู้พิพากษาเข้ามาร่วมพิจารณาปัญหาต่างๆ ด้วยนั้น   น่าจะเป็นวิธีแก้ปัญหาในกรณีที่เด็กก่อเหตุทะเลาะวิวาทหรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เพราะจะได้วางแนวทางพิจารณาโทษคดีความต่างๆ ไปในแนวทางเดียวกัน  สำหรับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับชีวิตวัยรุ่น มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับชีวิตวัยรุ่นหลายฉบับ การจะนำกฎหมายฉบับใดมาปรับใช้ก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของวัยรุ่นนั้นว่ามีความเกี่ยวข้องกับกฎหมายในเรื่องใดบ้าง ในที่นี้จะได้ยกเอากฎหมายที่มีความเกี่ยวข้องกับชีวิวัยรุ่นซึ่งวัยรุ่นมักประสบเป็นประจำมาอธิบายสาระสำคัญให้วัยรุ่นเกิดความเข้าใจในเรื่องดังต่อไปนี้

ประมวลกฎหมายอาญา หรือกฎหมายอาญาเป็นกฎหมายที่ว่าด้วยความผิดและโทษกล่าวคือ กฎหมายอาญาได้กำหนดไว้ว่าการกระทำใดเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย หรือหากกระทำตามสิ่งที่กฎหมายกำหนดห้ามไว้ก็จะมีความผิด และอีกกรณีหนึ่งเป็นกรณีที่กฎหมายกำหนดให้เรามีหน้าที่ต้องกระทำตามที่กฎหมายกำหนด ถ้าไม่กระทำตามก็มีความผิดตามกฎหมาย เช่น กฎหมายอาญาเป็นกฎหมายที่ว่าด้วยโทษนั้น หมายความว่ากฎหมายอาญาได้กำหนดโทษสำหรับความผิดนั้นๆ ไว้ ตามตัวอย่างในเรื่องลักทรัพย์ข้างต้น หากศาลได้ตัดสินแล้วว่าผู้กระทำมีความผิดก็ย่อมจะต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย ซึ่งกฎหมายได้กำหนดให้ต้องรับโทษจำคุก ไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 6,000 บาท ซึ่งหมายความว่าผู้กระทำผิดจะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปีและปรับไม่กิน 6,000 บาท เป็นต้น
สำหรับกฎหมายอาญา ขอยกประเภทของความผิดที่กฎหมายอาญากำหนดไว้ในเรื่องสำคัญๆ ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาการทะเลาะวิวาทของวัยรุ่น ดังต่อไปนี้
8.1 การทำร้ายร่างกาย-ชีวิต-ความผิดต่อเสรีภาพ  พฤติกรรมการใช้ความรุนแรงของวัยรุ่นในยุคปัจจุบันดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องปกติของวัยรุ่นไปแล้ว การยกพวกตีกัน การดักทำร้ายนักเรียนจากโรงเรียนคู่อริ ทั้งการใช้มือเปล่า การใช้ไม้เป็นอาวุธจนกระทั้งปืนหรือระเบิดขวดเข้าห้ำหั่นฝ่ายตรงข้าม เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่บั่นทอนอนาคตของวัยรุ่นไทยให้ต้องไปใช้ชีวิตในสถานพินิจฯ แทนที่จะได้เอาเวลามาศึกษาเล่าเรียนเพื่อจะได้สามารถศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยหรือการได้งานดีๆ ทำในอนาคต

            8.1.1 การทำร้ายร่างกาย กฎหมายอาญาได้กำหนดให้ผู้ที่ทำร้ายร่างกายผู้อื่นต้องรับโทษตามที่กฎหมายกำหนด หากการทำร้ายร่างกายนั้นไม่ถึงกับทำให้เกิดอันตรายแก่กายมากนัก    เช่น ถูกเล็บข่วนจมูกเป็นแผลยาว 1 ซม.   ผู้ที่กระทำต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ แต่ถ้าผลจากการถูกทำร้ายรุนแรงขึ้นขั้นริมฝีปากแตก ฟันหัก ฟันโยก ในกรณีนี้ผู้กระทำจะต้องถูกระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่หากผลจากการทำร้ายร่างกายนั้นทำให้ผู้ถูกทำร้ายได้รับอันตรายอย่างสาหัส เช่น ตาบอด หูหนวก หน้าเสียโฉม เสียแขน นิ้วหรืออวัยวะใดๆ หรือป่วยเจ็บจากการถูกทำร้ายเกินกว่า 20 วัน ผู้ที่ทำร้ายร่างกายจะต้องถูกโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 10 ปี
                       8.1.2 การชุลมุนต่อสู้ (การยกพวกตีกัน)  การชุลมุนต่อสู้หรือการยกพวกตีกันนั้น หมายถึง การต่อสู้กันตั้งแต่สามคนขึ้นไปและการต่อสู้นั้นทำให้ผู้ต่อสู้คนใดคนหนึ่งถูกทำร้ายจนเป็นอันตรายสาหัส ผู้ที่เข้าร่วมต่อสู้ทุกคนจะมีความผิดแม้ว่าตนเองจะไม่ได้ทำร้ายคนที่ได้รับอันตรายสาหัสเลย โดยจะต้องถูกระวางโทษไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
                        8.1.3 การฆ่าคนตาย  การทำร้ายร่างกายผู้อื่นและการชุลมุนหรือต่อสู้หรือการยกพวกตีกันในหลายครั้งเป็นเหตุให้ผู้ที่ถูกทำร้ายถึงแก่ความตาย ซึ่งอาจจะไม่ได้เสียชีวิตในทันทีทันใดนั้น แต่ไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลหรือที่บ้าน สิ่งเหล่านี้ไม่ทำให้ผู้ที่ทำร้ายผู้อื่นหรือผู้ร่วมชุลมุนต่อสู้พ้นจากความผิดต้องรับโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกตั้งแต่ 15 ปีถึง 20 ปี แต่ถ้าการฆ่าคนตายโดยได้ไตร่ตรองไว้ก่อนผู้กระทำจะต้องถูกระวางโทษประหารชีวิต
                        8.1.4 ความผิดต่อเสรีภาพ  เป็นการกระทำความผิดโดยการข่มขู่หรือใช้กำลังทำร้ายจนผู้ถูกข่มขู่นั้นยอมตามที่ผู้ข่มขู่ต้องการ เช่น กรณีที่นักเรียนโรงเรียนคู่อริบังคับให้อีกฝ่ายหนึ่งยอมถอดเข็มขัดหรือเสื้อของสถาบัน หรือการรับน้องที่รุ่นพี่บังคับให้น้องต้องกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งโดยที่รุ่นน้องไม่ยอมแต่ต้องทำตามเพราะกลัวจะถูกทำร้าย เป็นต้น สำหรับผู้ที่กระทำผิดต่อเสรีภาพนี้จะต้องถูกระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ถ้าผู้กระทำผิดได้กระทำโดยมีอาวุธหรือร่วมกันทำผิดตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปจะต้องถูกระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
8.2. หมิ่นประมาทและดูหมิ่น  การทะเลาะเบาแว้งของวัยรุ่นเป็นเรื่องที่พบเห็นกันทั่วไป บ้างก็มีการด่าทออาจด้วยคำหยาบคาย บ้างก็ร้ายป้ายสีกัน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเหตุให้เกิดการกระทบกระทั่งที่รุนแรง อันอาจนำไปสู่การทำร้ายร่างกายกันในที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุดังกล่าวขึ้น กฎหมายจึงกำหนดความผิดในเรื่องนี้ไว้ ดังนี้
            8.2.1 หมิ่นประมาท  การหมิ่นประมาท หรือการใส่ความบุคคลอื่นให้ได้รับความเสียหายเป็นเหตุให้ ผู้ที่ถูกใส่ความนั้นเสียชื่อเสียง ถูกผู้อื่นเกลียดชัง เช่น น.ส. ย ไม่ชอบ น.ส. ค จึงไปใส่ความว่า น.ส. ค กอดจูบได้เสียกับผู้ชายให้ น.ส. ช ฟัง หรือการที่ น.ส. ย พูดถึง น.ส. ค ให้ น.ส. ช ฟังว่า น.ส. ค เป็นอีกะหรี่เถื่อนไม่มีเงินก็ให้เอา เป็นต้น ผู้กระทำความผิดฐานนี้จะต้องถูกระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
            8.2.2 ดูหมิ่นซึ่งหน้า การดูหมิ่นซึ่งหน้า คือ การพูดจาดูถูกเหยียดหยามทำให้อับอายขายหน้าอาจเป็นคำด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย หรือการแสดงออกด้วยกิริยาท่าทาง เช่น การให้ของลับ เป็นต้น
จะเห็นได้ว่า การหมิ่นประมาทแตกต่างจากการดูหมิ่นซึ่งหน้า โดยการหมิ่นประมาทนั้นผู้กระทำจะกระทำลับหลังผู้เสียหายในขณะที่การดูหมิ่นซึ่งหน้าผู้กระทำได้ทำต่อหน้าผู้เสียหาย ผู้ที่กระทำความผิดโดยดูหมิ่นซึ่งหน้าจะต้องถูกระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
9. หน่วยงานต่างๆของรัฐและเอกชน ควรมีส่วนร่วมเสมอ  ในการส่งเสริมให้เด็กได้พัฒนาขึ้น  โดยมีแนวทางดังนี้ คือ เปิดโอกาสให้เด็กได้เข้าถึงข้อมูล  ข่าวสาร  ทรัพยากร  เพื่อกระต้นให้เด็กอยากรู้อยากเห็น  ได้ทดลอง  ได้เรียนรู้  ได้ฝึกฝนในสิ่งที่ตนเองสนใจ  และมีความถนัด   ส่งเสริมการเรียนรู้  ด้วยการงดเว้นค่าบริการต่างๆ  เช่น  ค่ารถ  ค่าเรือ  ค่าผ่านประตูเข้าสวนสัตว์  พิพิธภัณฑ์ต่างๆ  สนามกีฬา  ห้องสมุด  รวมถึงการลดราคาให้แก่ผู้ใหญ่ที่พาเด็กเข้าไป  เป็นต้น  รัฐควรสนับสนุนค่าใช้จ่ายส่วนนี้ให้  ส่งเสริมครู  และพี่เลี้ยงเยาวชน  ที่มีความสามารถพิเศษ  และเป็นตัวอย่างที่ดีแก่เด็ก  เช่นนักกีฬาทีมชาติ  ควรให้เป็นผู้สอนเยาวชนในกีฬาที่เด็กสนใจ  ส่งเสริมสนามกีฬา  ศูนย์เยาวชน  สวนสาธารณะ  สวนสัตว์  ให้เป็นที่เรียนรู้แก่เด็ก  โดยมีผู้ใหญ่ที่คอยดูแลให้เด็กได้เรียนรู้อย่างคุ้มค่าเป็นต้น

















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น